เมื่อ Sears จัดงานฉลองเนื่องในโอกาสก่อตั้งครบรอบ 125 ปี แต่ไม่เหมือนครั้งอดีตที่พวกเขาเคยเป็น “ห้างสรรพสินค้าที่มี ทุกสิ่ง” สำหรับครอบครัวและสมญานามห้างค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา เพราะการเกิดขึ้นของ Walmart ในช่วงปี 1990
ราคาหุ้นของ Sears เคยพุ่งสูงถึง 195.18 เหรียญดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2007 แต่ปัจจุบันกลับมีราคาเหลือเพียงหุ้นละ 4 ดอลลาร์เท่านั้น มูลค่าที่ลดลงของราคาหุ้นสะท้อนถึงสถานการณ์ตึงเครียดภายในองค์กรใหญ่แห่งนี้ได้เป็นอย่างดี Eddie Lampert CEO ของ Sears พยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อพาธุรกิจค้าปลีกนี้เอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ยากลำบากไปให้ได้ ทั้งการขยายสาขาไปยังแคนาดา และการปรับแผนธุรกิจ แต่ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำก็ส่งผลกระทบอย่างมาก อีกทั้งการเข้ามาของร้านค้าออนไลน์ (E-commerce) ก็ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไป
ในอดีต Sears เคยเป็นบริษัทนาฬิกามาก่อน พวกเขาขยายสาขามากกว่า 400 สาขา จากนั้นในปี 1930 จึงค่อยๆ ปรับโฉมเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีทุกสิ่งสำหรับครัวเรือน พร้อมแคตตาล็อกสินค้ามากกว่า 500 หน้า ซึ่งโฆษณาสินค้าทุกอย่างของพวกเขาตั้งแต่เสื้อผ้าไปจนถึงอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ นั่นคือช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟูในอเมริกา และเป็นยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของ Sears
แต่ด้วยการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากการถือกำเนิดของ Walmart และ Target ตลอดช่วงปี 1980 สุดท้าย Sears จึงยอมจำนนภายใต้แรงกดดัน แผนการตลาดหลังจากนั้นไม่ได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น มีแต่แย่ลงทุกที ผู้บริหารไม่เข้าใจสิ่งที่พนักงานหรือแม้แต่ลูกค้าต้องการ จนสุดท้ายบรรดาผู้จัดการร้านพากันถอดใจและทิ้งงานไป และในที่สุด Sears ก็ควบรวมกิจการเข้ากับ Kmart เพื่อให้ตนเองรอดจากวิกฤติการล้มละลาย แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่เลวร้ายยังไม่จบลง เพราะจากพนักงาน Sears และ Kmart กว่า 355,000 คนในปี 2006 กลับเหลือเพียง 89,000 คนในปัจจุบัน ความท้าทายที่ Sears ต้องเผชิญยังไม่หมดไป และธุรกิจค้าปลีกที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีตนี้ก็ยังคงดิ้นรนท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนของอเมริกา
ความเปลี่ยนแปลงภายนอกไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจที่ตกต่ำลงหรือการมาถึงของเทคโนโลยียุคใหม่ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการซื้อของผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ทำให้กิจการค้าปลีกแห่งนี้ต้องประสบกับสถานการณ์ที่ยากลำบากถึงขีดสุด จะเห็นได้ว่าปัจจัยจากภายนอกส่งผลกระทบต่อองค์กรได้มากแค่ไหน ดังนั้นการเรียนรู้และปรับตัวเพื่ออยู่รอดให้ได้ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
