ต้องนับว่าเป็นปีแห่ง Teenager จริงๆสำหรับการแข่งขัน Tennis US. Open ที่ได้คู่ชิงก็คือ Teenager สองคนคนหนึ่งอายุสิบเก้า มาจากประเทศ Canada และอีกคนหนึ่งอายุสิบแปดมาจากประเทศ UK ซึ่งทั้งสองคน ไม่เคยเข้ารอบชิงเทนนิสรายการใหญ่อย่างรายการ Grand Slam มาก่อน เราคงทราบผลการแข่งขันเป็นที่เรียบร้อยว่า Emma Raducanสาวน้อยมหัศจรรย์วัยสิบแปดจาก UK ได้ชนะรายการนี้ ซึ่งจะมีคนตามเชียร์ Emma พอสมควร อาจจะเป็นเพราะว่าด้วย หน้าตาและบุคลิก ผนวกกับความมั่นใจในตัวเองสูงมาก
แต่ก่อนที่เราจะลืมรายการนี้อยากที่จะขอพูดถึงคู่แข่งของเธอนั่นก็คือ Leylah Annie Fernandaz ซึ่ง เป็นที่สุดแห่งม้ามืด โดยได้แข่งกับคู่แข่งขันที่ถือว่าอยู่ในสายหิน สุดๆ คือกว่าที่จะทะลุเข้าสู่รอบ Final ต้องเจอกับมือวางอันดับหนึ่งอย่าง Naomi Osaka และมือวาง อันดับสองและอันดับห้ารวมถึงนักเทนนิสแชมป์เก่ารายการ Grand Slam และต้องเล่นถึงสามเซ็ต กว่าสี่ Match ซีงกว่าจะมารอชิง Final ได้ก็สะบักสะบอม พอสมควร ซึ่งแตกต่างจาก Emma ที่ไม่ได้เล่นกับนักเทนนิส ที่อยู่ในอันดับสิบอันดับแรกของโลกเลยและสามารถทะลุเข้าถึงรอบ final โดยไม่เสีย set เลยสัก set
โดยประวัติของ Leylah เกิดที่ เมือง Montreal ประเทศ Canada ตัวคุณพ่อเองเป็น Immigrant มาจากประเทศ Ecuador ส่วนคุณแม่ เป็นลูก Immigrant ที่มาจากประเทศ Philippines ด้วยความที่คุณพ่อเป็นนักกีฬาฟุตบอลมาก่อน เมื่อเห็นลูกมีแววในการตีเทนนิส ก็เลยพยายามสนับสนุนจนสามารถเข้าสู่โครงการ Junior Tennis Program ของทาง Quebeck แต่ก็ไม่ใช่ว่าเส้นทางการเล่นเทนนิสของ Leylah จะประสบความสำเร็จมาตั้งแต่ต้น โดยเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ ก็ได้ถูกปลดออกจากทีมเทนนิสของ Quebec Tennis Development Program ซึ่งตรงนี้ทำให้คุณพ่อซึ่งไม่มีความรู้ในเรื่องกีฬาเทนนิสได้ได้กระโดดลงมาเป็นโค้ชให้กับเธอ และเมื่อเล่นมาสักพักหนึ่ง มีครูที่โรงเรียนถึงกับบอกว่าให้เลิกเล่นเทนนิสเถอะ และให้กลับมาเรียนเพราะเล่นไป ก็คงจะไร้อนาคต ซึ่ง Leylah ก็ใช้คำพูดนี้ เป็น เครื่องเตือนใจ และเป็นแรงผลักดัน ที่จะพิสูจน์ให้ครูคนนั้นได้เห็นถึงสิ่งที่เธอฝันและจะทำมันให้เป็นความจริง
ตอนแรกผมเองก็ก็เหมือนกับหลายๆคนที่รอตามเชียร์ น้อง Emma เพราะเห็นแววมาตั้งแต่การแข่งขัน Wimbledon ประกอบกับไม่เคยเห็น Leylah แข่งในรายการไหนมาก่อน แต่เมื่อได้เห็นการตอบคำถาม ของ Leylah ในวันที่เอาชนะนักเทนนิสมือวางอันดับสองของโลกนั่นก็คือ Aryna Sabalenka ต้องบอกเลยว่าบทสัมภาษณ์เปลี่ยนความคิดไปอย่างสิ้นเชิง ได้มองเห็นเด็กผู้หญิงที่เพิ่งฉลองวันเกิดอายุสิบเก้าปีของเธอก่อนหน้าการเล่นไม่กี่วัน กับการตอบคำถาม ได้อย่าง ฉลาด มีความมั่นใจ และคงไว้ ซึ่ง บุคลิก อันสดใส ของเธอ ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่กองเชียร์ ชาว New York ได้ตามเชียร์เธอมาตลอดการแข่งขัน แต่เมื่อการแข่งขันในรอบ Final มาถึง ด้วยความเหนื่อยล้าจากการเล่นสาม set มากว่า 4 match ทำให้ Leylah แรงหมดและได้แพ้ให้กับ Emma
ในช่วงการให้สัมภาษณ์ก่อนที่จะมอบถ้วยและเงินราววัล ผู้สัมภาษณ์ มักจะถามนักกีฬาถึงเกมส์การแข่งขัน คนที่อยากขอบคุณ รวมถึงอนาคตในการเล่นเทนนิสของเธอ แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจ Leylah เป็นอย่างยิ่งก็คือเมื่อผู้สัมภาษณ์กำลังจะจบการสัมภาษณ์เธอและกำลังจะหันไปสัมภาษณ์ผู้ชนะ Leylah ได้ขอโอกาสที่จะพูดอะไรให้กับกองเชียร์ชาวนิวยอร์ก และสิ่งที่เกิดขึ้น ต้องถือว่า ได้สร้าง ความประทับใจให้กับผู้ชมชาว New York และคนที่ติดตามทั่วโลก เพราะวันที่แข่งคือวัน September 11 โดย Leylah พูดว่า
‘I know this day is especially hard for New York and everyone around the United States. I just want to say that I hope I can be as strong and as resilience as New York has be the past 20 years. Thank you for always having my back, thank you for cheering for me. I love you New York and hope to see you next year.
ซึ่งคำพูดของเธอทำให้ ชาว New York และผู้ชมทางบ้านกว่าหลายล้านคน (รวมทั้งผม) กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และที่สำคัญจะแสดงให้เห็น ถึง Character ความฉลาด ความมีไหวพริบ และต้องถือว่าเป็น Master Class ของ On-Court Interview อย่างแท้จริง สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของเด็กรุ่นใหม่ ความมั่นใจ ความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องรอเวลาให้อายุมากเสียก่อน ถึงจะแสดงในสิ่งเหล่านี้ออกมา ต้องบอกว่า ดาวรุ่งคนใหม่ ของวงการเทนนิสได้เกิดขึ้นแล้วอย่างน้อยก็สองคน ยังเชื่อว่า Leylah คงสามารถชนะใจ แฟนเทนนิส ได้ทั่วโลก และเป็นแบบอย่างที่ดี ของการเป็นนักสู้ ด้วยเงินรางวัลกว่า 1.25 ล้านเหรียญ ถึงตรงนี้คุณครูที่บอกให้ Leylah เลิกเล่นนะกลับไปเรียน คงรู้แล้วว่า พูดผิดอย่างมหันต์ และต้องขอบคุณ Leylah ที่พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นและเชื่อในความฝัน และทำความฝันให้เป็นจริง เหมือนอย่างที่พ่อของ Leylah พูดกับเธอเสมอว่า
‘Nothing is impossible. There’s no limit to what I can do.’
Comments