7 วิธีที่จะช่วยส่งเสริมให้พนักงานมีสุขภาพจิตที่ดีในการทำงาน
การแพร่ระบาดของเชื้อ Covid-19 นั้น ได้ส่งผลกระทบกับหลายๆ องค์กร รวมทั้งการทำงานและชีวิตประจำวันของเราทุกคน ไม่แปลกเลยที่พนักงานจะรู้สึกมีความเครียด เหนื่อยล้า และเกิดความวิตกกังวล แม้กระทั่งก่อนปี 2020 รายงานพบว่า 72% พนักงานรู้สึกเหนื่อยล้าและหมดพลังกับการทำงาน
ในอดีตบทความหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับสุขภาพจิตอาจจะเคยเป็นข้อห้าม แต่ปัจจุบันหลายๆ องค์กรได้ให้ความสำคัญกับการมีสุขภาพจิตที่ดีมากขึ้น ตั้งแต่เกิด Covid-19 เป็นต้นมา พบว่า 86% ของผู้นำในองค์กรในปัจจุบันมีความเป็นห่วงในเรื่องสุขภาพจิตในที่ทำงาน
หากนายจ้างมีบทบาทสำคัญกับการมีสุขภาพจิตที่ดีของพนักงาน จะทำให้เกิดผลดีในชีวิตของพนักงาน
สิ่งที่เกิดขึ้นในที่ทำงานที่มีผลต่อสุขภาพจิต (Workplace Dynamics That Impact Mental Wellness)
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ปัจจัยหลักเบื้องต้นที่มีผลต่อสุขภาพจิตของพนักงาน ได้แก่
การสื่อสารที่ไม่มีประสิทธิภาพ และการบริหารงาน (Poor Communication and Management)
ถูกจำกัดอิสระในการทำงาน (Limited Autonomy Over One’s Work)
ไม่ค่อยได้รับการร่วมมือจากพนักงาน (Low Levels of Employee Support )
วัตถุประสงค์และหน้าที่ความรับผิดชอบไม่ชัดเจน (Unclear Tasks or Objectives)
ชั่วโมงการทำงานไม่ยืดหยุ่น (Inflexible Working Hours)
การขาดความสามัคคีในทีมงาน (Lack of Team Cohesion)
การกลั่นแกล้ง หรือ การคุกคามข่มเหง (Bullying or Harassment)
เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคขึ้น ปัจจัยเหล่านี้ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นและเกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น รวมทั้งการทำงานในระยะไกล และความกังวลต่อความปลอดภัยในสถานที่ทำงานก็เพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน
โปรแกรมการเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจ (Strengthen Your Mental Wellness Programs)
ข้อแนะนำสำหรับทีมงานทรัพยากรมนุษย์ (HR) และฝ่ายการเรียนรู้และการพัฒนา (L&D) ในการสร้างโปรแกรมเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งทางจิตใจให้แก่พนักงาน มีดังนี้
แก้ไขปรับปรุงนโยบายการทำงาน (Revise Workplace Policies)
โปรโมทประโยชน์ของการมีสุขภาพใจที่ดี (Promote Mental Health Benefits)
สื่อสารมากขึ้นและสม่ำเสมอ (Overcommunicate)
สร้างโอกาศให้มีการจัดกิจกรรม Team Building (Create Team Building Opportunities)
ให้คำแนะนำผู้จัดการแผนกต่างๆ ในการสังเกตความเหนื่อยล้าในทีมงาน (Coach Managers to Spot Burnout)
จัดให้มีโปรแกรมในการสร้างเสริมสุขภาพจิตที่ดี (Deliver Trainings To Support Psychological Wellbeing)
รับฟังพนักงานมากขึ้น (Listen To Employees)
1. แก้ไขปรับปรุงนโยบายการทำงาน (Revise Workplace Policies)
เริ่มด้วยการทบทวนนโยบายด้านสุขอนามัยและความปลอดภัย และการลาโดยได้รับค่าจ้าง รวมถึงการทำงานในระยะไกล หากพนักงานจำเป็นต้องแชร์พื้นที่ในออฟฟิศ ควรมีการปรับนโยบายด้านสุขอนามัยและความปลอดภัยให้สอดคล้องกับมาตรการที่เป็น Best Practice และพัฒนาแผนในการทำให้ขั้นตอนเหล่านั้นทันเหตุการณ์อยู่เสมอ
จากนั้น พิจารณานโยบายในการลาโดยได้รับค่าจ้างในคู่มือพนักงาน โดยการกำหนด “วันแห่งสุขภาพจิต” ซึ่งจะเป็นเหตุผลที่ดีในการส่งเสริมนโยบายในการลาโดยได้รับค่าจ้างมากขึ้น
“ประเมินนโยบายการทำงานจากที่บ้านเพื่อกำหนดนโยบายเวลาหยุดทำงาน สนับสนุนให้มีการพักเบรก และจัดให้มีตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น”
บ่อยครั้งที่ความเหนื่อยล้าและความวิตกกังวลนั้นเกิดขึ้นเมื่อพนักงานรู้สึกทำงานหนักเกินไป และปราศจากการติดต่อสื่อสาร ซึ่งการทำงานในระยะใกลนั้นยิ่งจะเพิ่มความเหนื่อยล้าและความวิกตกกังวลมากขึ้น
2. โปรโมทประโยชน์ของการมีสุขภาพใจที่ดี (Promote Mental Health Benefits)
เพิ่มโอกาสที่จะส่งเสริมให้ข้อเสนอพิเศษนี้น่าสนใจกับพนักงาน โดยประโยชน์ที่จะได้รับคือการมีสุขภาพที่ดี หรืออาจสร้างในรูปแบบโปรแกรมหรือกิจกรรมช่วยเหลือพนักงาน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อพนักงานอย่างมาก เช่น โปรแกรมให้คำแนะนำปรึกษาแก่พนักงาน เป็นต้น
สื่อสารให้พนักงานรับทราบถึงโปรแกรมพิเศษที่จัดขึ้น นอกจากการชี้แจงถึงโปรแกรมพิเศษต่างๆ ในการประชุมประจำปี ยังสามารถนำเรื่องนี้เข้าไปพูดคุยในการประชุมย่อยของพนักงานที่จัดขึ้นอยู่เสมอได้ด้วยเช่นกัน รวมถึงการลงในจดหมายข่าว หรือใน Intranet ภายในขององค์กร อีกทั้งยังสามารถจัดโปรแกรม Employee Resource Group (ERG) หรือกลุ่มแบ่งปันข้อมูลด้านสุขภาพจิตเพื่อพนักงาน โดยโปรแกรมนี้พนักงานสามารถแบ่งปันข้อมูลซึ่งกันและกัน เชื่อมต่อสื่อสารกับเพื่อนร่วมงาน และเสริมสร้างบรรยากาศของการส่งเสริมให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลทางด้านการมีสุขภาพที่ดีในทุกๆ ด้าน
3. สื่อสารให้มากขึ้น (Over-communicate)
หากไม่มีการสื่อสาร พนักงานอาจรู้สึกโดดเดี่ยวหรือรู้สึกว่าตัวเองถูกตัดขาดจากเพื่อนร่วมงานหรือจากบริษัทก็เป็นได้ ขอแนะนำให้ผู้จัดการใช้ช่องทางในการติดต่อสื่อสารต่างๆ ที่มีอยู่หลากหลายในการสื่อสารกับพนักงาน รวมทั้งมีการพบปะซึ่งกันและกัน และวิธีการใช้สื่อ Digital ต่างๆ ด้วย
"โดยพิจารณาสื่อสารข้อมูลที่จำเป็นและสำคัญ เช่น มีการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบายต่างๆ หรือมีข้อมูลอัพเดทที่สำคัญๆ ของบริษัท และขอให้ระมัดระวังในความถี่ของการส่งข้อมูลให้กับพนักงาน โดยให้เป็นไปอย่างให้เหมาะสมและไม่บ่อยจนเกินไป"
มีข้อแนะนำในการปรับใช้เทคนิคต่างๆ จาก Training Your Leaders on Communication Techniques ซึ่งเป็นเครื่องมือและหลักการณ์ในรูปแบบของการอธิบายคุณลักษณะของ Emergenetics® ซึ่งจะช่วยให้ผู้จัดการลดช่องว่างต่างๆ ที่อาจะเกิดขึ้น ทำให้สามารถถ่ายทอดข้อมูลถึงพนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับความต้องการของพนักงานได้มากขึ้น
4. สร้างโอกาสในการจัดกิจกรรม Team Building (Create Team Building Opportunities)
การสร้างสัมพันธภาพระหว่างพนักงานด้วยกันนั้นจะช่วยเพิ่มการมีสุขภาพจิตที่ดี อาจจะลองจัดกิจกรรมแบบเสมือนจริง เช่น Happy Hour หรือการจัด Team Building ในรูปแบบต่างๆ เพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์ในเชิงบวก และเกิดการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หรือการจัดโปรแกรม Peer-To-Peer Employee Recognition Programs หรือโปรแกรมการมอบรางวัลเพื่อนร่วมงาน ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะส่งเสริมสมาชิกในทีมในการติดต่อและแสดงให้เห็นว่าพนักงานให้ความสำคัญซึ่งกันและกัน ซึ่งจะทำให้เกิดการมีส่วนร่วมและมีสุขภาพทางจิตใจที่ดีต่อพนักงาน
การลงทุนกับการพัฒนาด้านทักษะความรู้ในหน้าที่การงานไปพร้อมกับการฝึกอบรมด้าน Team Dynamics for Small Groups หรือ Meeting of the Minds ก็จะช่วยเสริมสร้างและปลูกฝังความสามัคคีในทีม รวมทั้งยังเป็นการช่วยให้พนักงานปรับปรุงและพัฒนาการสื่อสารและความร่วมมือในการทำงานให้ดีขึ้นเช่นกัน
5. ให้คำแนะนำผู้จัดการแผนก ในการสังเกตสัญญาณแห่งความเหนื่อยล้าของทีมงาน (Coach Managers to Spot Burnout)
พนักงานบางคนอาจจะชอบบอกกล่าวถึงความเหนื่อยล้าและความวิตกกังวลที่เกิดขึ้น ในขณะที่พนักงานคนอื่นอาจจะไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้น หัวหน้างานของพนักงานคนนั้นจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการประเมินว่าสมาชิกในทีมแต่ละคนกำลังรู้สึกอย่างไรบ้าง
การแนะนำผู้นำผู้จัดการหรือผู้นำของแผนก ถึงสัญญาณบ่งชี้ของอาการหรือภาวะเหนื่อยล้าและหมดพลังของพนักงาน เช่น การที่สมาชิกในทีมขาดสมาธิในการทำงาน มีความกลัวในบางสิ่งบางอย่าง หรือมีภาวะทางอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลง
"ผู้นำหรือผู้จัดการทีมยังสามารถปรับใช้เนื้อหาจากคุณลักษณะที่แตกต่างจาก Emergenetics Attributes ในการช่วยให้ค้นพบสัญญานความเครียดของพนักงานได้เช่นกัน"
และเพื่อเป็นการช่วยให้ผู้จัดการสามารถชี้ถึงความเครียดที่เกิดขึ้นกับพนักงานได้นั้น ควรแชร์ข้อมูลต่างๆ ที่จะช่วยให้ผู้จัดการสามารถช่วยเหลือพนักงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคในการรับมือกับความเครียด หรือแม้กระทั่งการแสดงถึงความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ และรับฟังพนักงาน เป็นต้น
6. จัดให้มีโปรแกรมการสส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดี (Deliver Trainings to Support Psychological Wellbeing)
หากต้องการจัดให้มีการฝึกอบรมในด้านการมีสุขภาพจิตที่ดีนั้น ขอให้แน่ใจว่าได้มีการศึกษาข้อมูลมาอย่างดีแล้ว และมีการร่วมมือกับ Partner หรือองค์กรภายนอกที่น่าเชื่อถือ ผู้จัดการยังสามารถจัดการฝึกอบรมในเรื่องนี้ให้กับพนักงานได้เช่นเดียวกัน ด้วยการปรับใช้โปรแกรมการฝึกจิตใจ (Mindfulness) หรือการฝึกสมาธิ หรือการฝึกโยคะ เป็นต้น
อีกหนึ่งวิธีให้การฝึกอบรมในด้านการใช้จุดแข็งของแต่ละคน (Strength-Based Training) ด้วยการใช้รูปแบบของ Emergenetics ซึ่งเป็นการฝึกอบรมที่จะส่งเสริมและสนับสนุนให้พนักงานใช้จุดแข็งของตัวเองในการเสริมสร้างความมั่นใจ และยังช่วยให้ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ทำให้พนักงานมีพลัง และในคุณลักษณะแต่ละด้านต่างก็มีผลด้านบวกกับการมีสุขภาวะที่ดีด้วยเช่นกัน
ลำดับต่อมา คือการมีสุขภาพทางการเงินที่ดี บ่อยครั้งที่ความเครียดและความวิตกกังวลจะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อพนักงานกังวลเรื่องการเงิน การฝึกอบรมให้ความรู้ด้านการจัดและบริหารการเงิน แบ่งปันข้อมูลหรือเชิญผู้มีความรู้หรือวิทยากรจากภายนอกมาให้ความรู้ ก็จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อพนักงานในทีม
7. รับฟังพนักงานมากขึ้น (Listen to Your Employees)
การมีสุขภาพจิตที่ดีนั้นจะมีความหมายแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน
"การจัดโปรแกรมที่จะสร้างสรรค์ให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุดนั้น ทำได้โดยการสอบถามความต้องการของพนักงาน"
อาจจะด้วยการใช้แบบสอบถามเพื่อให้ได้ข้อมูลและนำข้อมูลนั้นมาออกแบบโปรแกรมให้เหมาะสม และหากสมาชิกในทีมคนไหนที่ค่อนข้างเปิดเผย อาจจะจัดให้มีการพูดคุยแบบเฉพาะกลุ่ม หรือสัมภาษณ์ตัวต่อตัว เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกมากขึ้น และตรงกับความต้องการของพนักงานอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ขอให้ระมัดระวังในการสอบถามข้อมูลกับพนักงาน เนื่องจากบางครั้งพนักงานอาจจะกำลังอยู่ในสภาวะที่ไม่พร้อมหรือไม่สะดวกในการให้ข้อมูล
"ด้วยการติดต่อสื่อสารกับพนักงานอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้สามารถพิจารณาถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับพนักงานได้"
และผู้จัดการก็จะสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการพูดคุยสนทนา หรือการได้มาซึ่งข้อมูล ไม่ว่าความต้องการของพนักงานจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรหรือในรูปแบบไหนก็ตาม
หากผู้นำของทีม หรือผู้จัดการต้องการสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน สร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ทำให้พนักงานเกิดแรงบันดาลใจ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือพนักงานได้อย่างแท้จริง สำคัญอย่างยิ่งที่พนักงานมีสุขภาพจิตที่ดี ด้วยการแนะนำโปรแกรมที่จะช่วยส่งเสริมด้านนี้และรับฟังพนักงาน ผู้นำหรือผู้จัดการก็จะสามารถเพิ่มความมั่นใจในการพูดคุยสนทนา และค้นพบ Solutions ต่างๆ ที่จะช่วยพนักงานและช่วยให้องค์กรพัฒนาต่อไป
Source : www.emergenetics.com
Comments